จริยธรรมทางการค้าในอิสลาม
ในชั่วข้ามคืน ชื่อของ มาร์ติน ชเครลี กลายเป็นที่จดจำอย่างรวดเร็วในฐานะ “บุคคลที่โลกเกลียดชัง” จากการที่เขาประกาศขึ้นราคายา “ดาราพริม” ซึ่งเป็นยาที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อรักษาอาการติดเชื้อ “ท็อกโซพลาสโมซิส” ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นอันตรายถึงชีวิต รวดเดียวจากราคาเม็ดละ 13.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 750 ดอลลาร์หรือประมาณ 470 บาท เพิ่มเป็น 26,250 บาท โดยนายชเครลีอ้างว่า จะนำผลกำไรไปลงทุนพัฒนายาอื่นๆต่อ เนื่องจากการค้นคว้าวิจัยและทดลองจนกว่าจะได้ยาที่มีประสิทธิภาพนั้นมีต้นทุนสูง
อันที่จริง ประเด็นจริยธรรมทางการค้าเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมาเนิ่นนาน
โดยมากก็หนีไม่พ้นเรื่องการเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้านายทุน ซึ่งจำเลยเจ้าเก่าก็มักไปตกลงที่ระบอบทุนนิยม,
การค้าเสรี, ระเบียบโลกใหม่ ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าทั้งหมดที่กล่าวมาจะมีส่วนผิดอยู่จริง
แต่ก็มิได้หมายความว่า “มนุษย์” ในฐานะผู้ที่มีสิทธิเลือกตามธรรมชาติจะลอยตัวต่อเรื่องนี้
และมีสิทธิโดยชอบธรรมที่จะเอาแต่ชี้นิ้วโทษผู้อื่นโดยไม่มองดูตัวเอง
แน่นอนว่าวัตถุประสงค์ของการค้าคือผลกำไร กว่าที่ใครซักคนจะฝ่าฟันเพื่อนำเสนอสินค้าออกสู่ท้องตลาดย่อมมีต้นทุนมหาศาล
ทั้งในด้านเวลา กำลังทรัพย์ กำลังสมอง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ค้าที่มีอำนาจในการกำหนดราคาจะสามารถเรียก
“ค่าเหนื่อย” ได้อย่างไร้ขอบเขต
พระองค์อัลลอฮ์ (ซ.บ.) ได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานว่า :
“โอ้บรรดาผู้ที่ศรัทธาทั้งหลาย จงอย่ากินทรัพย์ของพวกเจ้า ในระหว่างพวกเจ้าโดยมิชอบ
นอกจากมันจะเป็นการค้าขายที่เกิดจากความพอใจในหมู่พวกเจ้า”
(ซูเราะฮ์อันนิซาอ์ โองการที่ 29)
จากสาระของโองการดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของการแบ่งเบาความเดือดร้อนให้กับผู้ที่อยู่ในภาวะที่ยากลำบาก
ซึ่งหากย้อนกลับไปที่พฤติกรรมของ มาร์ติน ชเครลี ที่กล่าวถึงไปในช่วงต้นก็จะพบว่าช่างห่างไกลจากหลักการของอิสลามเป็นอย่างยิ่ง และท่ามกลางเสียงก่นด่าจากประชาคมโลก
ชเครลี ยังคงเดินหน้าเรียกเสียงสาปแช่งด้วยการประกาศอย่างเลือดเย็นว่า
“นี่คือการตัดสินใจทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยมซึ่งจะทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของเราทุกคน”
“ไม่ต้องสงสัย ผมมันทุนนิยม ผมสร้างบริษัทยาใหญ่ เพื่อให้เป็นบริษัทยาที่ประสบความสำเร็จ
และเป็นบริษัทที่ทำกำไร”
อิสลามกับจริยธรรมทางการค้า
บทบัญญัติในศาสนาอิสลามมีข้อห้ามในการเอารัดเอาเปรียบทางการค้าซึ่งครอบคลุมในทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นการห้ามกักตุนสินค้า ดังที่ท่านศาสนฑูตมูฮัมมัด
(ซ.ล.) ได้กล่าวว่า :
“ผู้ใดกักตุนสินค้า ดังนั้นเขาอยู่ในฐานะผู้กระทำผิด”
(บันทึกโดยมุสลิม)
ห้ามมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคดโกง ฉ้อฉล หรือสร้างความเดือดร้อนใดๆ
ให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ดังที่ปรากฎในตัวบทอัลฮะดีษที่ว่า
“จะต้องไม่ให้มีการสร้างความเดือดร้อนเกิดขึ้น และจะต้องไม่ให้มีการทำความเดือดร้อนให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในอิสลาม”
(บันทึกโดย อัลบุคอรีย์และมุสลิม)
ท่านคอลีฟะฮ์อะลี อิบนุ อบีฎอลิบ (รอฎิยัลลอฮุอัลฮุ) ได้เรียกร้องไปสู่แนวคิดการตั้งราคาที่เป็นธรรมซึ่งจะไม่เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ขายและผู้ซื้อ
ซึ่งท่านได้กล่าวว่า :
“จำเป็นจะต้องมีการซื้อขายกันด้วยราคาที่ไม่เป็นการเอารัดเอาเปรียบกันทั้งสองฝ่าย
คือผู้ขายและผู้ซื้อ”
คำพูดของคอลีฟะฮ์อาลี (รอฎิยัลลอฮุอัลฮุ)
มีความหมายว่า ราคาที่เป็นธรรมของสินค้าจำเป็นจะต้องเป็นราคาที่ไม่เอารัดเอาเปรียบทั้งสองฝ่าย
ที่ทำสัญญาการค้าคือผู้ขายและผู้ซื้อ(คือผู้ที่เสนอกับผู้ที่สนอง
หรือผู้ที่ผลิตกับผู้ที่บริโภค) ราคาที่เป็นธรรมในอิสลามคือราคาที่ไม่ไปฉ้อฉล
คดโกง ผู้หนึ่งผู้ใดจากบรรดาผู้ที่ได้กระทำสัญญาซึ่งกันและกัน ดังนั้นผู้ที่ผลิตหรือผู้ที่ขายจะต้องไม่คดโกง
ฉ้อฉล เช่นเดียวกัน
กรณีของ มาร์ติน ชเครลี ไม่ใช่ข่าวใหม่ ผู้ที่ติดตามข่าวสารโดยทั่วไปก็จะทราบดีว่าการขึ้นราคายาดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว
แต่สิ่งที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอในบทความนี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ซึ่งปรากฎเป็นข่าวครึกโครมในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการรายงานข่าวการจับกุม นายมาร์ติน
ชเครลี โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ที่เมืองแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก ในข้อหาใช้ทรัพย์สินของบริษัท
โรโทรฟินí ที่นายชเครลีเคยเป็นซีอีโอ ในการจ่ายหนี้อย่างผิดกฎหมาย
หลังจากบริษัทกองทุนเฮดจ์หันด์ ‘เอ็มเอสเอ็นบี แคปิตอล เมเนจเมนต์’
ที่เขาเคยเป็นผู้จัดการ สูญเสียเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า
การละเมิดขอบเขตอันควร ย่อมนำมาซึ่งความเดือดร้อนไม่เพียงสำหรับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาก็จะได้รับผลตอบแทนจากพระองค์อัลลอฮ์ในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่สร้างความเสียหายขึ้นมาบนหน้าแผ่นดิน