มัสยิดบูเก็ตตรี


ม.3 ต.เกตรี อ.เมืองสตูล จ.สตูล 91140   083-1836582


แผนที่ Google Maps 


  


ประวัติความเป็นมามัสยิด

                  มัสยิดหรือศาสนสถานแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พุทธศักราช 2400 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลเกตรี อำเภอเมือง จังหวัดสตูล จดทะเบียนเลขที่ 20 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2492 เป้าหมายสำคัญสร้างอาคารครั้งแรก เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับปฏิบัติอีบาดะห์ของมวลพี่น้องทั้งที่อยู่ในละแวกบ้านโคกและพี่น้องที่อยู่ห่างไกลอีกหลายหมู่บ้าน อาทิเช่น หมู่บ้านจีน บ้านเขาหาบเคย บ้านวังพะเนียด บ้านโคกมุด บ้านโคกมะพร้าว บ้านบูฆอเล้าะ และบ้านไร่ ฯลฯ สมัยที่ความเจริญยังเข้ามาไม่ถึงนั้น หากจะไปพบปะหาสู่กันระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน ค่อนข้างยากลำบากเพราะไม่มีถนน ชาวบ้านที่อยู่ห่างออกไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ จึงต้องเดินลัดเลาะป่า ข้ามทุ่ง เดินบนคันนามาเป็นกลุ่มๆ เพื่อมาละหมาดและมาร่วมญามาอะห์ในวันศุกร์ และมาร่วมงานกิจกรรมทางศาสนาเมื่อมัสยิดจัดขึ้น ณ ศูนย์กลางที่บ้านโคกแห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น อาคารของมัสยิดหลังแรกผนังของอาคาร โดยรอบก่อกั้นฝาด้วยดินทรายผสมปูนอัดเป็นแผ่น แทนอิฐ ส่วนเบื้องบนหลังคาคลุมแดดคลุมฝน มุงด้วยจาก เวลาผ่านไปราว ๆ 6 ปี ฝาผนังเกิดชำรุดแตกร้าว ได้มีการปรับปรุงครั้งแรกด้วยการรื้อทำลายผนังกั้นฝา เพื่อเปลี่ยนใช้แผ่นสังกะสีมาป็นฝากั้น กับรื้อหลังคาเปลี่ยนเป็นแผ่นสังกะสี มุงแทนหลังคาจาก หลายปีต่อมา เป็นช่วงที่สาม เห็นว่าฝากั้นสังกะสีทุกแผ่น และสังกะสีมุงหลังคาเสื่อมสภาพ เริ่มปรากฎผุ กรอบเป็นสนิม ทั้งฝากั้นและหลังคา จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ผนังกั้นทั้ง 4 ด้านใช้ไม้กระดานตีฝา หลังคาก็เปลี่ยนจากสังกะสีเป็นมุงด้วยกระเบื้องดินเผา อดีตที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนวัสดุเป็นช่วง ๆ สามครั้งนั้น ผู้อาวุโสสูงอายุที่ยังมีชีวิตยืนยันกับผู้เขียนว่าถ้าจำไม่ผิดอยู่ในระหว่างปี พ.ศ. 2453 - 2468 ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.6 ตรงกับฮิจเราะห์ศักราช 1333 - 1348

                   ลุถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.7 ในปีพุทธศักราช 2478-2484 คณะผู้ดูแลมัสยิดนำโดยอัรมัรฮูม ฮัจยี ยะอ์ฟ๊าร อาดำ และฮัจยีอับดุลฮามิด แก้วสลำ ผู้อาวุโสสองท่านในเวลานั้นมีความคิดริเริ่ม ได้ปรารภกับผู้หลักผู้ใหญ่ซึ่งเป็นสัปปุรุษประจำมัสยิดว่า สถาบันศาสนาของเราซึ่งมีอยู่หนึ่งเดียวในกอเรี๊ยะห์นี้ นับวันนอกจากจะคับแคบแล้ว วัสดุที่ประกอบทุกส่วน จะเสื่อมสภาพตามกาลเวลาและวิตกกังวลว่า อนาคตข้างหน้าจะไม่พอรองรับกับจำนวนผู้ที่มาร่วมประกอบศาสนกิจอย่างแน่นอน สมควรจะระดมความคิดหาลู่ทางพัฒนาเสริมสร้างขยับขยายครั้งใหญ่แต่เนิ่น ๆ เป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้ารองรับความเจริญของหมู่บ้านซึ่งจะเป็นชุมชนใหญ่ในวันข้างหน้า ประกอบกับต้องเตรียมรองรับสัปปุรุษที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต ยามนั้นผู้ใหญ่ทุกคนต่างช่วยกันคิดพิจารณาอย่างกว้างขวาง จะมีลู่ทางใดที่จะได้มาซึ่งปัจจัยก้อนโตมาบูรณาการศูนย์ปฏิบัติอีบาดะฮ์อันเป็นสมบัติส่วนรวมซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวนี้ให้เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่ความมั่นคงถาวรและทันสมัย สัปปุรุษและมุสลิมะห์ส่วนใหญ่เริ่มตื่นตัวกับข่าวกรณีนี้ ส่งผลให้ทุกคนเห็นสอดคล้องขานรับถ้วนหน้าเพราะถือเป็นภารกิจของผู้ศรัทธา พร้อมจะร่วมด้วยช่วยกันให้ความร่วมมืออย่างเต็มความสามารถ การพัฒนาอาคารมัสยิดครั้งสำคัญ จึงมีการวางแผนระยะยาว โดยได้มีฉันทามติเห็นชอบร่วมกันในที่ประชุมเพื่อให้ได้มาซึ่งงบดำเนินการกล่าวคือต้องสำรองเงินไว้ที่ตัวเลขไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลัก
ตามข้อสรุปในที่ประชุมมี 3 ประการกล่าวคือ

1. จัดงานออกร้านจำหน่ายอาหารการกุศลปีละ 1 ครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่อง 3 ปี

2. สัปปุรุษลูกบ้านทุกครัวเรือน ร่วมมีส่วนแสดงจิตศรัทธาช่วยกันบริจาคทาน “ซอดาเก๊าะห์ยารียะห์” เพื่อสมทบทุน

3. สื่อประสานกับทางราชการกรมศาสนา ขออนุเคราะห์อุดหนุนงบช่วยเหลือด้านศาสนา ตามพระราชกฤษฎีกล่าวว่าด้วนการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พุทธศักราช 2488 ตามมาตรา 35 วงเล็บ(1)

                   ผลของการที่บรรดาสัปปุรุษและลูกบ้านร่วมมือพร้อมใจกันผนึกกำลังทำงานตามสติปัญญา พลังความสามารถเพื่อสนองเจตนารมณ์ ในที่สุดบรรลุผลสำเร็จตามเปาหมายที่พึงปรารถนา หลังจากจัดงานการกุศลต่อเนื่อง 3 ปี หักค่าใช้จ่ายแล้วคงเหลือเงินรายรับสุทธิ 1,420,000 บาท สัปปุรุษและบรรดาแม่บ้านทุกเครือเรือนในตำบล และบุคคลนอกตำบลร่วมหลั่งน้ำใจบริจาครายละ 500 ถึง 1,000 บาท เปิดโอกาศให้บริจาคได้นานถึง 3 ปี ได้เงินโดยรวม 1 ล้านบาทเศษ ได้รับเงินอุดหนุนจากทางราชการกรมศาสนา 4 งวด งวดละ 20,000 บาท รวมเป็นเงิน 80,000 บาท ขณะทีมงานกำลังเร่งระดมทุนตลอด 3 ปีนั้น ฝ่ายดำเนินงานก่อสร้างอาคารมัสยิดก็ปฏิบัติงานไปพร้อม ๆ กันด้วย ปัญหาที่ตามมาเรื่องสุดท้ายคือที่ดิน แต่เดิมเป็นที่ดินซึ่งเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์คือ อัรมัรฮูม มูซา และอัรมัรฮูมะห์ มูนะฮ์ แก้วสลำ สองสามีภรรยานี้ได้อุทิศยกที่ดินวากั๊ฟให้สร้างมัสยิดตามโฉนดที่ดินเลขที่ 20605 ที่ดินแปลงดังกล่าวมีเนื้อที่ 2 งาน 53 ตารางวา ได้ถ่ายโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมัสยิด ณ วันที่ 17 กันยายน พ.ศ 2539 อาคารใหม่จะต้องขยายโครงสร้างให้ใหญ่กว่าอาคารเก่าก็เกิดปัญหาที่ดินมีเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด มัสยิดสร้างเต็มเนื้อที่ไม่มีที่ว่างจึงได้ปรึกษากับเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งได้ชี้แจงทำความเข้าใจเจ้าของที่ดิน ยอมรับด้วยเหตุผลและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ที่ดินด้านทิศเหนือยาว 4 เมตร อัรมัชฮูมะห์ แชอ๊ะห์ ตกลงขายในราคา 3,000 บาท ที่ดินด้านทิศใต้ยาว 8 เมตร อัรมัรฮูมะห์ เซาวดะห์ ขายในราคา 4,000 บาท เมื่อผนวกกับที่ดินตามที่ได้รับถ่ายโอนในหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์จะมีเนื้อที่รวมทั้งหมด กว้าง/ยาว 26.50 x 36.50 ตรม. อาคารของมัสยิด ที่ปรากฏปัจจุบันโครงสร้างทุกส่วนเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กได้มาตรฐาน ขนาดของอาคารกว้าง/ยาว 13 x 38 ตรม. รวมเฉลียง ตั้งกึ่งกลางที่ดินมีกำแพลงรั้วอิฐบล็อกล้อมโดยรอบ ด้านซ้ายวัดจากแนวระเบียงถึงกำแพงรั้วเว้นที่ว่าง 8.00 เมตร ด้านหลังจากแนวลูกกรงเฉลี่ยจรดกำแพงรั้วเว้นที่ว่าง 3.30 เมตร ส่วนด้านหน้าทิศตะวันตกวัดจากแนวผนังอาคารจรดกำแพงรั้วเว้นที่ว่าง 3.70 เมตร

                 ย้อนอดีตตอนก่อสร้างเมื่อ 56 ปีก่อนราว พ.ศ 2497 หรือ ฮ.ศ. 1376 ตามเวลาดังกล่าว 4 ปีก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ร.9 จะทรงได้รับอันเชิญขึ้นครองราชย์สมบัติ หรือสมัยหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายยกรัฐมนตรี
การดำเนินการก่อสร้างอาคารมัสยิดหัวหน้าช่างผู้ควบคุมงานได้แก่ ฮัจยี ฮูเซ็น แก้วสลำ (บุตรของอัรมัรฮูม มูซา แก้วสลำ) นายอิสมาแอล แก้วสลำ และนาย มูฮำมัด อาดำ สมทบด้วยแรงงานชายฉกรรจ์บุตรหลานของสัปปุรุษจำนวนหนึ่ง (ผู้เขียนขออภัยที่ไม่สามารถระบุชื่อ) ผลัดเปลี่ยนร่วมด้วยช่วยกันเสียสละกำลังกายเต็มที่ ทุกคนทำงานแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างต่อเนื่องการดำเนินการได้รับเนี๊ยะมัตจากอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ให้งานก่อสร้างรุดหน้าไปเป็นลำดับด้วยความสมานฉันท์และความสามัคคีที่มีอยู่ในหมู่คณะเป็นพลังในการพัฒนา จนกระทั่งประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายในปั้นปลายคือแล้วเสร็จปลายปี 2494 แม้โครงสร้างบางส่วนยังค้างคาไม่ครบวงจร แต่ก็ถือได้ว่าสมบูรณ์แล้วในระดับหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิ โดยใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี สรุปยอดค่าก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 2,500,000 บาท “บ้านบูเก็ตตรี” คือชื่อของมัสยิด ผู้เฒ่าผู้แก่ในอดีตตั้งชื่อตามตำบลที่อยู่โดยอัตโนมัติ มัสยิดบ้านบูเก็ตตรี ชื่อนี้เรียกขานมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนานนับศตวรรษ


                 ที่มา http://www.masjidthai.com/masjid/STN0053.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ โปรดยอมรับนโยบายคุกกี้เพื่อประสบการณ์การใช้บริการที่ดีที่สุดของท่าน ท่านสามารถศึกษาวิธีการตั้งค่าการควบคุมคุกกี้ของท่านผ่านนโยบายการใช้คุกกี้ของเราที่นี่

นโยบายการใช้คุกกี้ของเราที่นี่ ยอมรับ